วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

วัดพระธาตุแช่แห้ง
 ปูชนียสถานที่สำคัญของเมืองน่าน มีอายุกว่า 600 ปี ตามพงศาวดาเมืองน่านกล่าวว่า พญาการเมือง โปรดเกล้าให้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากเมืองสุโขทัย ระหว่างปี พ.ศ.1891-1901 สถาปัตยกรรมด้านโบสถ์ของวัดพระธาตุแช่แห้วที่สำคัญและแสดงให้เห็นถึงแบบอย่างสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมสกุลช่างน่าน
  วิหารหลวง อยู่ทางด้านทิศใต้ขององค์พระธาตุเป็นวิหารขนาดใหญ่ 6 ห้อง ห้องกลางมีขนาด 3 ห้อง และต่อชั้นลดออกไปทางด้านหน้า 2 ห้องและด้านหลัง 1 ห้อง ดังนั้นหากดูจากภายนอกจะมองเห็นเป็นอาคารขนาดใหญ่ หลังคาลาดต่ำลงมาเป็นชั้นซ้อนด้านละ 3 ชั้น และมีชั้นลดด้านหน้า 2 ชั้น ด้านหลัง 1 ชั้น มีประตูทางด้านหน้าและด้านข้างตรงกลาง
  วิหารพระนอน อยู่ทางด้านหน้านอกกำแพงแก้วขององค์พระธาตุ วิหารก่อสร้างตามแนวยางขององค์พระ มีประตูทางเข้าด้านหลังคือ
ทิศใต้
   เจดีย์วัดพระธาตุแช่แห้ง
พระธาตุแช่แห้ง ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน เป็นพระธาตุที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตามประวัติสร้างเมื่อ พ.ศ. 1896 อายุราว 600 ปีเศษ องค์กระธาตุแช่แห้งเป็นพระธาตุที่มีขนาดสูงถึง 55.5 เมตร ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 22.5 เมตร มีสีเหลืองอร่ามเนื่องจากบุด้วยแผ่นทองเหลือง พระธาตุนี้ตั้งอยู่บนยอดดอยภูเพียงแช่แห้ง ตำบลม่วงตึ๊ด กิ่งอำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน ลักษณะของเจดีย์ทรงระฆัง ส่วนฐานทำเป็นฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ รองรับฐานบัวลูกแก้วย่อเก็จ ถัดขึ้นไปเป็นฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยมและแปดเหลี่ยม ซ้อนลดหลั่นกัน 3 ชั้น องค์ระฆังมีขนาดเล็กบัลลังก์ทำเป็นแท่นสี่เหลี่ยมย่อเก็จ ฐานหน้ากระดานกลมเป็นกระดานสี่เหลี่ยมและแปดเหลี่ยม และชั้นบัวคว่ำเหนือฐานแปดเหลี่ยมตกแต่งคล้ายกลีบบัว หรือลายใบไม้แทนลายดังกล่าวนี้คงได้รบอิทธิพลจากศิลปะพม่า ซึ่งนำมาต่อเติมขึ้นภายหลัง เมื่อล่วงเข้าพุทธศตวรรษที่ 24 แล้ว
    ตั้งอยู่ที่ตำบลม่วงตึ๊ด จากตัวเมืองข้ามสะพานแม่น้ำน่าน ไปตามเส้นทางสายน่าน-แม่จริม หรือทางหลวงหมายเลข 1168 ประมาณ 3 กิโลเมตร มีงานนมัสการพระบรมธาตุเป็นประจำทุกปีระหว่างวันขึ้น 11 ค่ำ ถึง 15 ค่ำ เดือน 6 ทางเหนือ โดยนับทางจันทรคติซึ่งจะอยู่ในราวปลายเดือนกุมภาพันธ์หรือประมาณเดือนมีนาคมทุกปี

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน
          ตั้งอยู่ในบริเวณ คุ้มของอดีตเจ้าผู้ครองนครน่าน ที่เรียกว่า "หอคำ" โดย พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าเมืองน่านสร้างขึ้น เป็นที่ประทับ เมื่อปี พ.ศ.2446 ลักษณะตัวอาคารโอ่โถง งดงาม ก่ออิฐถือปูนแข็งแรง แต่ตกแต่งให้อ่อนช้อย สวยงาม ด้วยลายลูกไม้ นับเป็น สถาปัตยกรรมก่อสร้าง ที่ดีเด่นแห่งหนึ่งของเมืองไทย นอกจากนั้น บริเวณด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ เป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์ พระเจ้าสุริยพงศ์ผลิตเดช ผู้เป็นเจ้าของหอคำแห่งนี้ ด้วยกรมศิลปากร ได้รับมอบอาคารหอคำ เพื่อใช้เป็นอาคาร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน เมื่อปี พ.ศ.2517 จัดแสดง โบราณวัตถุ ตลอดจนสิ่งที่น่าสนใจ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศิลปะ โบราณคดี และชาติพันธุ์วิทยา ประจำท้องถิ่น มาจัดแสดงให้ชมอย่างมีระบบ และระเบียบสวยงาม
          ส่วนที่เป็นห้องจัดแสดงชั้นล่าง จัดแสดงชาติพันธุ์วิทยาเกี่ยวกับล้านนา เช่น ลักษณะอาคารบ้านเรือน และเครื่องใช้ ในชีวิตประจำวัน การทอผ้า และผ้าพื้นเมืองน่านแบบต่าง ๆ ที่สวยงามมาก การสาธิต งานประเพณี และความเชื่อต่างๆ เช่น การแข่งเรือ การจุดบ้องไฟ สงกรานต์ และพิธีสืบชะตา เป็นต้น ที่น่าสนใจ ในการจัดแสดง ห้องโถงชั้นล่าง นี้ยังมีการจัดแสดง เรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ และเครื่องใช้ของชนกลุ่มน้อย ในจังหวัดน่านรวม 5 เผ่าด้วยกัน คือ ไทลื้อ ม้ง เย้า ถิ่น และตองเหลือง
          ส่วนบริเวณห้องจัดแสดง ชั้นบน เป็นการจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ของเมืองน่าน การสร้างเมือง และโบราณสถานที่สำคัญ รูปถ่ายโบราณ งานประณีตศิลป์ เครื่องใช้เงินตรา อาวุธ ศิลาจารึก และเครื่องถ้วย ที่ค้นพบในเมืองน่าน ที่สำคัญที่สุดคือ ห้องเก็บ งาช้างดำ ซึ่งเป็นปูชนียวัตถุคู่เมืองน่าน ตามประวัติกล่าวว่า ได้มาจากเมืองเชียงตุงตั้งแต่โบราณ เมื่อเจ้ามหาพรหมสุรธาดาเจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้าย ถึงแก่พิราลัย เจ้านายบุตรหลาน จึงมอบให้เป็นสมบัติ ของแผ่นดิน พร้อมหอคำ ลักษณะของงาช้างดำนี้เป็นงาปลี ยาว 94 เซ็นติเมตร เปลือกสีน้ำตาลเข้ม ส่วนปลายมน มีจารึกอักษรธรรมล้านนา ภาษาไทย กำกับไว้ว่า "กิ่งนี้หนักหนึ่งหมื่นห้าพัน" หรือประมาณ 18 กิโลกรัม
          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน เปิดให้ประชาชน และนักท่องเที่ยว เข้าชมทุกวัน โดยเสียค่าธรรมเนียม เข้าชมคนละ 10 บาท ชาวต่างประเทศ 30 บาท ทั้งยังมีการบริการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทางด้านวิชาการ การจำหน่ายเอกสารสำคัญ และหัตถกรรมพื้นบ้าน สินค้าที่ระลึกต่าง ๆ
 

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

เรื่อง…..ภูแว อลังการขุนเขาเมืองน่าน

ภูแว  สัณฐานภูมิประเทศที่สวยงาม จึงกลายเป็นจุดดึงดูดใจให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการไปสัมผัสธรรมชาติบริสุทธิ์ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น แม้ว่าจะขุนเขาดอยสูงก็ตามที คนที่มีใจรักธรรมชาติก็มุ่งแสวงหาทางขึ้นไปอย่างไม่ย่อท้อ

การเดินทางสู่ดอยภูแว ที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เราต้องใช้เจ้าหน้าที่ป่าไม้นำทางขึ้นไป และต้องขึ้นไปพักค้างแรมแบบแค้มปิ้งกัน 1 คืน รวมเวลาที่ใช้ก็ 2 วัน 1 คืน ก็เพียงพอกับการศึกษาธรรมชาติบนดอยสูงแห่งนี้ได้อย่างเต็มที่
เริ่มต้นจากจังหวัดน่าน ก็เดินทางไปยังอำเภอปัว แล้วขึ้นไปยังอำเภอบ่อเกลือ ผ่านที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ยังไม่ทันไรก็ตั้งท่าเก็บเงินเข้าอุทยานฯ เสียแล้ว ใครที่ไม่เที่ยวก็ต้องแจ้งที่ด่านว่าเราไปธุระที่อื่น ไม่ได้เข้าไปเที่ยว มิเช่นนั้นอาจถูกเงินไปเปล่าๆ
ระหว่างทางผ่านต้นชมพูภูคา ซึ่งช่วงจะมีดอกผลิบานก็เป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แล้วไปยังอำเภอบ่อเกลือ แวะชมการทำเกลือภูเขาแบบฉบับดั้งเดิมกันซะหน่อย จากนั้นก็แยกซ้ายไปยังบ้านด่าน ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะออกไปห้วยโก๋น 
ก่อนถึงบ้านด่านเล็กน้อย เราจะพบกับหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติภูแว อยู่ทางด้านซ้ายมือ  เป็นจุดเริ่มของการเดินป่าสู่ยอดภูแวที่มีความสูง 1,837 เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นเส้นทางสู่ธรรมชาติบริสุทธิ์ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง

จังหวัดน่าน

สุดปลายฟ้าล้านนาตะวันออก
จังหวัดน่านเป็นจังหวัดเงียบๆที่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจมากนัก การไปก็ต้องข้ามภูเขาเทือกเขาไปยากๆพอๆกับไปอำเภอปาย และยังไม่ใช่เมืองผ่านไปยังจังหวัดอื่นๆได้โดยง่าย ทำให้นักท่องเที่ยวไม่ให้ความสนใจจังหวัดนี้มากนัก กลายเป็นเมืองลับแลน้อยคนจะรู้จักและเคยไปเที่ยวจังหวัดนี้
ในความเงียบและสงบกลับกลายมาเป็นจุดเด่นที่ทำให้เมืองน่านมีเสน่ย์ที่ใครหากได้ไปเที่ยวสักครั้งจะมีความสุข ณ.ตัวจังหวัดน่านกลางเมืองตกกลางคืนดึกหน่อยก็ไม่มีรถวิ่งแล้วเงียบเหมือนอยู่ตำบนปลายทางของจังหวัดใหญ่ๆ
ที่น่านชาวบ้านก็ยังคงรักษาความเป็นอยู่ของเขาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นตลาดเช้ากลางเมืองน่านบริเวณตรงข้าโรงแรมเทวราช ที่ทุกวันนี้ถึงแม้จะมีบิ๊กซีเป็นทางเลือกแต่คนเมืองน่านก็ยังนิยมใช้ตลาดเช้าและตลาดเย็นเป็นที่ซื้อของสด ผัดสด จากภูเขาที่ชาวเขานำมาขายกัน
เมืองน่าเป็นเมืองสงบมีวัดหลายวัดในเขตตัวเมือง วัดจะอยู่ติดๆกัน เหมาะสำหรับท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมอย่างมาก โดยเฉพาะวัดภูมินทร์มีจิตกรรมฝาผนังที่ดังไปทั่วโลก รูปดังกล่าวคือรูปที่ภูชายกำลังกระซิบให้ผู้หญิงฟัง ว่ากันว่าเป็นเสียงกระซิบที่ดังไปทั่วโลก
จังหวัดน่านมีแม่น้ำน่านไหลผ่านจังหวัดเหนือจากแม่น้ำน่านนี้ขึ้นไปทางเหนือไม่มีเขื่อนอยู่เลยทำให้น้ำแม่น้ำน่านช่วงหน้าแล้งแห้งเดินข้ามไปมาได้ หน้าฝนน้ำหลากน้ำแรงพัดบ้านทั้งหลังหายไปได้เลย บริเวณตัวเมืองน่านมีการสร้างเขื่อนไว้กันตลิ่งทรุดตัว กลับกลายเป็นที่ท่องเที่ยวที่นิยมไปกินลมชมวิวกันริมแม่น้ำน่าน ในช่วงน้ำหลากชาวเมืองน่านก็ยังไปลุ้นว่าจะท่วมตัวเมืองหรือไม่ แม่น้ำน่านไหลลงทางใต้และจะไปลงเขื่อนเขื่อนสิริกิต์ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ 
เนื่องจากจังหวัดน่านเงียบสงบยังคงวัฒนธรรมต่างๆไว้ได้อย่างดี ตลาดจนสิ่งปลูกสร้างก็ไม่มากมายยังคงรักษาบ้านเก่าๆ ทรงล้านนาโบราณไว้ได้มาก หากใครได้ไปหลวงพระบางก็คงนึกภาพออกมาคล้ายๆกัน ในวันที่หลวงพระบางได้เป็นมรดกโลก ขอให้คนไทยได้ภูมิใจในเมืองน่านของเรา เพราะถึงแม้ยังไม่ได้เป็นมรดกโลกในวันนี้ ความงดงามด้านต่างๆของน่านก็มีคุณค่ามากพอในใจเราโดยที่ไม่ต้องประกาศเป็นมรดกโลกก็ได้